ประเภทของกองไฟและความสามารถ

 

 

 

 

ดูจากรูปข้างบนน่าจะพอเข้าใจนะครับว่า ประเภทไหนมีคุณสมบัติเป็นอย่างไร ดับไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงประเภทใหนได้บ้าง โดยจะเรียกความสามารถในการดับเพลิงเป็น CLASS

CLASS A : จะเป็นเพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงของแข็ง, ไม้, กระดาษ, พลาสติก, ยาง CLASS B : เกิดจากน้ำมันเชื้อเพลิง, ก๊าซหุงต้ม CLASS C : เกิดจากอุปกรณ์ที่เกิดจากไฟฟ้า, อิเล็กโทรนิค CLASS K : เกิดจากน้ำมันพืช

ส่วนประเภทของเครื่องดับเพลิงแต่ละประเภทดับอะไรได้ดูที่เป็นสีเขียวครับ ส่วนสีแดงไม่สามารถนำไปใช้ได้ครับ

ส่วนที่เรานิยมและเห็นกันมากที่สุดคือถังสีแดง เรียกว่า สูตรเคมีแห้ง คุณสมบัติก็ดับได้ CLASS : A, B, C

ข้อดี : เครื่องสามารถดับไฟได้เกือบทุกประเภท ยกเว้น CLASS : K, ราคาถูกที่สุด, หาซื้อง่าย ข้อเสีย : เมื่อฉีดออกมาจะฟุ้งกระจาย, เมื่อเราทำการฉีดแล้ว จะฉีดจนหมดหรือไม่หมดถัง แรงดันจะตก ไม่สามารถใช้งานได้อีก ต้องส่งบรรจุใหม่, หลังฉีดไปแล้ว จะเป็นฝุ่นเต็มบริเวณที่เราฉีด ต้องมาทำความสะอาดกันเหนื่อย, และที่สำคัญ กฎหมายกำลังจะออกมาให้เลิกใช้ เนื่องจากอ้างว่าทำลายสิ่งแวดล้อมและระบบทางเดินหายใจ

ขนาดมีตั้งแต่ 2.2 ปอนด์และ 5 ปอนด์ (นิยมนำไปติดไว้ในรถยนต์ที่ติดแก๊ส) ส่วนถ้าติดตามบ้านและคุณผู้หญิงสามารถยกได้ จะมีขนาดประมาณ 10 ปอนด์ และ 15 ปอนด์ ส่วนขนาดตั้งแต่ 20 ปอนด์ขึ้นไปนิยมติดในโรงงานอุตสาหกรรม

ชนิด สูตรน้ำ นั้น จะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ทางบริษัทเครื่องดับเพลิงนำมาจำหน่ายกันไม่นานมานี้ และตัวนี้แหละที่จะมาแทนถังสีแดงในอนาคต แต่ละยี่ห้อจะใช้สีไม่ที่ถังไม่เหมือนกัน

ข้อดี : ดับไฟได้ทุก CLASS โดยเฉพาะ CLASS K ที่เกิดจากน้ำมันประกอบอาหาร ทำให้ไฟไม่ย้อนกลับมาติดอีก, เวลาฉีดไม่หมดถังก็ไม่จำเป็นต้องบรรจุใหม่ สามารถใช้ได้จนหมดถังแล้วค่อยบรรจุใหม่, สามารถฉีดอุปกรณ์ไฟฟ้าได้โดยไม่ทำให้ไฟฟ้าลัดวงจรในขณะที่เราลืมตัดสวืตซ์ไฟ, ทำความสะอาดง่ายกว่าชนิดเคมีแห้ง ข้อเสีย : ราคาจะสูงกว่าเครื่องดับเพลิงชนิดเคมีแห้ง 2-3 เท่าตัว

ชนิด สารระเหยเร็ว เมื่อก่อนเราจะเห็นว่าเป็นถังสีเหลืองเป็นสารฺ BFC ซึ่งปัจจุบันห้ามใช้งานแล้ว ปัจุบันนี้มีบริษัทหนึ่งนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และได้รับหนังสือรับรองว่าเป็นผู้นำเข้ามาเพียงเจ้าเดียว และผมก็เป็นตัวแทนเค้า แต่จะมีตัวใหนของบริษัทใหน ก็ลองไปหาดูนะครับ เพราะวงการนี้ก็มีการแข่งขันกันสูงพอสมควร

ข้อดี : สามารถดับได้ CLASS : A, B, C โดยที่ไม่ทิ้งคราบมากหรือเป็นอัตรายต่อระบบหายใจ นิยมใช้กับเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยเฉพาะโรงงานที่มีห้องคอลโทน หรือคอมพิวเตอร์เยอะๆ หน่วยงานใหญ่ที่เป็นของต่างประเทศจะนิยมใช้ครับ เพราะเค้าจะรู้จักคุณสมบัติน้ำยาชนิดนี้ดี ข้อเสีย : ราคาสูงมากหลักพันปลายๆ เกือบหมื่น

ชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Co2 เครื่องดับเพลิงชนิดนี้เราก็เห็นกันพอสมควรตามห้างสรรพสินค้าหรือตามหน่วยงานต่างๆ ความสามารถดับได้ CLASS : ฺB, C เท่านั้น

ข้อดี : ไม่เป็นฝุ่นหรือน้ำ ไม่ทิ้งคราบสกปรก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่ติดไฟ ข้อเสีย : หากเป็นห้องหรือที่ปิด การทำงานของเครื่องดับเพลิงชนิดนี้เป็นการตัดอากาศ หากมีคนอยู่ในห้องที่เกิดเหตุ จะไม่มีอากาศหายใจ, ไม่มีเกจน์วัดแรงดัน, มีน้ำหนักมากกว่าอากาศ 1.5 เท่า และไม่ควรตั้งตากแดด ต้องเก็บไว้ในที่ร่ม เวลาฉีดหรือฉีดเสร็จใหม่ๆไม่ควรจำปลายสาย

ชนิดนำ้ำสะสมแรงดัน ดับได้แต่ CLASS : A เท่านั้น จึงไม่เป็นที่นิยมกัน ไม่ควรนำไปฉีดใส่ CLASS : B จะทำให้ไฟกระเด็นไปติดที่อื่นได้ เป็นการเพิ่มให้ไฟติดเร็วขึ้น และห้ามนำไปฉีด CLASS : C, K

ชนิดโฟม ก็ไม่นิยมใช้ตามบ้านพักอาศัย จะนิยมใช้กับโรงงานอุตสาหกรรม โดยมากจะไว้ดับ เชื้อเพลิงประเภททินเนอร์ หรือสารระเหยที่ติดไฟง่าย ไม่ควรนำไปฉีด CLASS : C จะทำให้ไฟดูดเราได้ครับ

เวลาซื้อเครื่องดับเพลิง แต่ละชนิด จะมีสัญลักษณ์ที่ข้างถังว่ามีคุณสมบัติอะไรบ้าง และที่เราจะเห็นอีกอย่างคือ Fire Rating อาทิเช่น 2A: 2B หรือ 6A : 20B คืออะไร

เวลาซื้อ ผมแนะนำให้ซื้อ 6A:20B ไปเลยครับ หลายคนเวลาไปซื้อไม่ได้สนใจตรงนี้ ดูแต่ราคา เห็นว่าขนาดเครื่องเท่ากันแต่ ราคาทำไมต่างกัน (โดยเฉพาะเวลาผมเสนอลูกค้าโรงงานกับจัดซื้อ จะบอกว่าเค้าซื้อได้ถูกกว่า ผมต้องมานั่งอธิบาย) ผมเอารูปเปรียบเทียบมาให้ดูครับว่าเป็นอย่างไร จะได้เข้าใจง่ายๆหน่อยครับ

ภาพนี้เป็นคำว่า A

 

 

 

 

ภาพนี้เป็นคำว่า B

 

 

 

 

ข้อมูลนี้พอจะทำให้เพื่อนสมาชิกตัดสินใจและเลือกซื้อเครื่องดับเพลิงมาใช้กันได้ตามที่ต้องการนะครับ

คราวนี้มาดูการดูแลรักษาเบื้องต้นกันครับว่าการดูแลเบื้องต้นมีอะไรบ้าง โดยมาเมื่อเราซื้อเครื่องดับเพลิงมาใหม่ๆ ก่อนออกจากร้านหรือห้างสรรพสินค้า ควนดูที่เกจน์ก่อนนะครับว่าเกจน์ตกรึเปล่า สภาพถังเป็นอย่างไร และเมื่อเรานำมาติดตั้งที่บ้านพักแล้วอย่างน้อยควรตรวจสอบสภาพเครื่องด้วยตนเอง ทุกๆ 3-6 เดือนครั้ง เป็นอย่างต่ำ หรือจะให้ดีควรทุกๆเดือนครับ ให้มีสภาพพร้อมการใช้งานตลอดเวลา

หลายๆ คนชอบถามว่าแล้วเวลานานขนาดใหนควรเปลี่ยนหรือบรรจุใหม่ ไม่ใช่ซื้อมาตั้งไว้ เป็นเวลาหลายปีไม่ได้ใช้แล้วนำมาใช้เกิดปัญหา โดยมากเกจน์จะตกเองเนื่องจากซีลยางอาจรั่วหรือเปื่อยครับ …….อันนี้ขึ้นอยู่กับเครื่องดับเพลิงแต่ละยี่้ห้อครับ โดยมากเครื่องใหม่จะใช้เวลา 2-3 ปี ก็ควรส่งให้ร้านหรือบริษัทที่จำหน่ายทำการตรวจเช็คครับ

 

 

 

Share the Post:

Related Posts

รองเท้าเซฟตี้หุ้มส้น JOGGER – AURA

คุณลักษณะ เป็นรองเท้าหุ้มส้นสีดำ หนัง Full Gain รูปทรงทันสมัย บุด้วยผ้า Cambrella ช่วยดูดความชื้น กลิ่น ป้องกันเชื้อรา และระบายอากาศได้ดี หัว Composite Cap ทนต่อการกระแทกได้ 200จูล พื้นรองเท้าผลิตจาก PU สามารถทนน้ำมัน

Read More

ประเภทของกองไฟและความสามารถ

        ดูจากรูปข้างบนน่าจะพอเข้าใจนะครับว่า ประเภทไหนมีคุณสมบัติเป็นอย่างไร ดับไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงประเภทใหนได้บ้าง โดยจะเรียกความสามารถในการดับเพลิงเป็น CLASS CLASS A : จะเป็นเพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงของแข็ง, ไม้, กระดาษ, พลาสติก, ยาง CLASS B :

Read More